
ที่มาของภาพยนตร์ไทยที่คุณไม่เคยรู้
เรื่องราวจุดกำเนิดของวงการภาพยนตร์ไทยนั้น จะต้องย้อนกลับไปยังช่วงยุคต้นของการสร้างภาพยนตร์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเสร็จไปเยือนประเทศสวิซเซอร์แลน ในขณะที่ประทับอยู่ก็จะมีเจ้าช่างถ่ายภาพอยู่ตลอดเวลา โดยผู้ที่รับหน้าที่คนนี้คือ Lavanchy-Clarke ต่อมาฟิลม์ที่ถูกถ่ายก็ถูกนำกลับมายังประเทศไทยและนำไปจัดแสดง ทำให้จุดประกายความสนใจในวงการภาพยนต์ของกลุ่มราชวงศ์ไทยและนักธุรกิจในท้องถิ่น ทำให้เริ่มมีการนำเข้าอุปกรณ์ถ่ายทำภาพยนตร์จากต่างประเทศ โดยเริ่มฉายภาพยนต์จากต่างประเทศก่อนเป็นครั้งแรก
จนกระทั่งปี พ. ศ. 2463 อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทยได้เริ่มต้นขึ้น และในปี พ.ศ. 2473 ไทยก็ได้เข้าสู่ยุคเฟืองฟูที่สุดของวงการหนัง ด้วยการเปิดตัวสตูดิโอผลิตภาพยนตร์มากมาย หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปได้ 10 ปี ก็เริ่มมีการนำกล้องถ่ายขนาด 16 mm มาใช้ผลิตหนังมากกว่าร้อยเรื่อง ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นหนังแอคชั่น แต่เมื่อแข่งกับวงการฮอลลีวูดทำให้วงการหนังของไทยถึงจุดที่ตกต่ำที่สุดในช่วงปี พ.ศ. 2523 และ 2533 แต่โชคดีที่เรามีผู้มากู้สถานการณ์เอาไว้ได้ คือคุณนนทรีย์ นิมิบุตร, คุณเป็นเอก รัตนเรือง และคุณอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล รวมถึงนักแสดงชื่อดังที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกคือ โทนี่ จา (ทัชชกร ยีรัมย์)
ภาพยนตร์เรื่องแรกของไทย
หลังจากที่พี่น้องชาวฝรั่งเศษได้เริ่มเดินสายจัดแสดงภาพยนต์ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี พ.ศ. 2437 และวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2440 โดยได้มีการฉายที่กรุงเทพเป็นครั้งแรก ทำให้คนไทยได้รู้จักและสัมผัสกับเทคโลยีสมัยใหม่เป็นครั้งแรก ต่อมานักธุรกิจชาวญี่ปุ่นได้เปิดโรงหนังขึ้นแห่งแรกในปี พ.ศ. 2448 ภาพยนตร์ญี่ปุ่นได้รับความนิยมอย่างมากคือและคนไทยเรียกมันว่า “หนังญี่ปุ่น” ส่วนหนังที่มาจากฝั่งตะวันตกจะเรียกว่า “หนังฝรั่ง”
หนังไทยเรื่องแรกๆ ของไทยคือ นางสาวสุวรรณ เป็นหนังที่ร่วมมือกับทางฮอลลีวูดโดยใช้สถานที่ถ่ายทำในประเทศไทย รวมถึงนักแสดงก็เป็นคนไทยทั้งหมด กำกับและเขียนบทโดย Henry MacRae ฉายรอบปฐมทัศน์เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2466 ที่กรุงเทพมหานคร น่าเสียดายที่ปัจจุบันนี้มันไม่เหลือฉบับที่สมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงแค่รูปภาพเพียงไม่กี่ใบเท่านั้น
ไม่นานวงการภาพยนตร์ไทยก็เริ่มเติบโตขึ้นอย่างมาก และหนังที่กลายเป็นที่นิยมมากที่สุดสำหรับคนไทยคือ “หนังดราม่า” และ “หนังตลก” ที่กลายเป็นวัฒนธรรมที่โดดเด่นของประเทศไทย แถมยังเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติจนมีหลายเรื่องที่ถูกซื้อไปฉายต่อต่างประเทศมากมาย หนังที่ประสบความสำเร็จของไทยมากที่สุดคงจะไม่พ้น “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ที่ลงทุนไปกว่า 700 ล้านบาท